Kawasaki KSR 110 - จากเชียงรายสู่วังเวียง


อันที่จริงทริปนี้ผมไปมาเมื่อเดือน ตค. 2557 และผมได้เขียนลง Blog ของผมไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่ด้วยความที่ต้องการจัดระเบียบของข้อมูลบน blog ใหม่ก็บังเอิญไปลบข้อมูลอันสำคัญเข้าก็เลยต้องมาเขียนใหม่ด้วยความทรงจำที่เริ่มจะเลือนลาง ทริปนี้เป็นทริปแรกของผมที่เดินทางด้วยรถมอเตอรไซค์ และไปกับเพื่อนใหม่ทั้งทริป ซึ่งการเดินทางของผมเริ่มจากบ้านของผมเองใน อ.เมือง จ.เชียงราย แต่มีเพื่อนในกลุ่มบางส่วนก็ ออกจาก นครพนมบ้าง กทม. บ้าง หรือ แม้กระทั่งอุดรธานี ก็มี

เส้นทางนี้ใช้เวลาในการเดินทาง 6 วัน รวนระยะทาง ประมาณ 1400 กว่ากิโลเมตร ซึ่งเส้นทางเริ่มจาก

เชียงราย-ห้วยทราย-หลวงน้ำทา-อุดมไชย-หนองเขียว-หลวงพระบาง-วังเวียง-ไชยะบุรี-เมืองเงิน-ห้วยโก๋น-เชียงกลาง-สองแคว-เชียงคำ-เชียงราย

เชียงราย สู่ วังเวียง
เส้นทางที่วิ่ง

วันที่หนึ่ง : นัดกันหน้าด่านเชียงของเวลา 08:30
หน้าด่านเชียงของ
Mini Adventure ของผมสงบนิ่ง หน้าด่านเชียงของก่อนออกเดินทาง

แวะพักคน พักรถระหว่างทางก่อนที่จะถึงหลวงน้ำทา

ร้านอาหารไทย
ร้านอาหารครัวไทย ซึ่งเจ้าของเป็นคนไทยที่มาลงทุนเปิดร้านอาหารในลาว อยู่นอกเมืองหลวงน้ำทา ในวันนั้นกว่าที่เราจะได้กินอาหารกลางวันก็ปาเข้าไปบ่ายกว่าๆ แล้วครับ 
บรรยากาศโดยรอบร้านอาหารเป็นทุ่งนาเย็นสบายดาดีครับ
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จก็ได้เวลาออกเดินทางต่อ จากหลวงน้ำทาถึง อุดมไชย แต่การเดินทางต้องใช้ความระมัดระวังค่อนข้างมากเนื่องจากเส้นทางเป็นภูเชาสูงชัน และมีรถบรรทุกจากจีนเข้ามาเยอะมาก แต่ต้องยอมรับว่าในเส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่มีความสวยงามเช่นกัน แต่เนื่องจากเส้นทางมีลักษณะคดเคี้ยวไปตามไหล่เขา และมีรถบรรทุกค่อนข้างมาผมเลยไม่มีโอกาสถ่ายรูปเส้นทางระหว่างหลวงน้ำทา สู่อุดมไชย

เนื่องจากทริปนี้เป็นทริปในลักษระหารเฉลี่ย หลายๆคนก็เพิ่งจะมารู้จักกันในทริปนี้ แต่ก็มีหลายท่านที่รู้จักกันมาก่อนหน้านั้นแล้ว สำหรับผมแล้วคงเป็นมือใหม่ถอดด้าม ซึ่งในวันแรกนี้ผมยังไม่ได้ถ่ายรูปอะไรกันมากมายนักนอกจากจะต้องขี่รถมอเตอร์ไซค์คู่ใจไล่ตามพรรคพวกให้ทัน จำได้แต่เพียงว่าเรามาถึงที่พักในราว สี่โมงเย็น และมีสมาชิกจาก อ.เชียงคำมาสมทบอีก 4-5 ท่าน ในวันแรกเราเข้าพักกันที่ โรงแรมมิตรภาพ อุดมไชยครับ

หน้าโรงแรมมิตรภาพ อุดมไชย
วันที่สอง : อุดมไชย - หนองเขียว เป็นวันที่แสนโหดประมาณ 90 กม. แต่เส้นทางสวยงามมาก เนื่องจากเป็นเส้นทางที่ทางการลาวกำลังเริ่มที่จะบูรณะ จึงทำให้มีทั้งฝุ่น ดิน โคลน และหินลอยตลอดทั้งเส้นทาง


พักรถกันบนจุดชมวิวก่อนถึง สามแยกปากมอง

สภาพรถของผม ยังใหวครับ
ความงามของภูเขาตรงจุดชมวิว

อีกด้านหนึ่งของแนวเขา

งานนี้รถของผมเล็กที่สุดครับ แต่ก็คล่องตัวที่สุดเมื่อต้องเจอสภาพที่ทุรกันดาร

หมูดำของชาวบ้านที่นี่มักจะเลี้ยงกันแบบปล่อยกันแบบนี้แหละครับ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเดินทางในลาวต้องระมัดระวังเป็นอ่างมาก เพราะผมได้ยินว่าการขี่รถไปชนสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านนี่ต้องชดใช้กันหัวโตเลย

สามแยกปากมอง จุดนัดพบกับเพื่อนใหม่อีกสองท่านที่เดินทางมาจากอิสาน คนนึงมาจากอุดร และอีกท่านนึงมาจาก นครพนม เรามารวมพลกันที่ก่อนที่จะเดินทางสู่หนองเขียว 

ถึงแล้วครับหนองเขียว เรามถึงหนองเขียวในเวลาประมาณบ่ายโมงกว่าๆ จัดการเรื่องอาหารและที่พักตรงเชิงสะพานหนองเขียวนั่นแหละครับ ผมจำไม่ได้แล้วว่าโรงแรมชื่ออะไร แต่ราคาไม่แพงครับที่พักเป็นลักษณะบังกาโลว อยู่บนริมฝั่งแม่น้ำอู

ทัศนียภาพริมฝั่งน้ำอู ตรงเชิงสะพานหนองเขียว

ช่วงบ่ายวันนี้เราเช่าเรือล่องลำน้ำอูมุ่งหน้าสู่เมืองงอยครับ
เมืองงอยเป็นเมืองขนาดเล็กที่เงียบสงบ ชาวบ้านบอกผมว่าอยู่ห่างจากหนองเขียววประมาณยี่สิกิโล แต่การเดินทางไม่สะดวกมาทางเรือจากหนองเขียวง่าย และสะดวกที่สุด

เมืองเล็กๆ ที่มีเสน่ห์แฝงอยู่

เแม่ค้าขายกล้วยปิ้ง

เด็กๆเมืองงอยที่มีแววตาาไร้เดียงสาจริงๆครับ

ลักษณะของร้านค้าในเมืองงอย ก็ไม่ต่างจากบ้านนอกของเราสักเท่าไร

ทัศนียภาพภายในเมืองงอย

เศษซากของจักรวัตินิยมที่อยากจะเอาระเบิดไปทิ้งทำลายบบ้านใครก็ทำตามอำเภอใจ

ที่นี่แม้ว่าอยู่ห่างจากความเจริญมาก แต่ก็มีที่พักที่แสนสวยน่าพัก เหมาะสำหรับใครก็ตามที่ต้องการมาหยุดเวลาของชีวิตให้ช้าลงที่นี่
ณ.สะพานข้ามลำน้ำอู เมืองหนองเขียว

แคบหมู ไม่ต่างจากอาหารเมืองเหนือบ้านเฮา

ตลาดหนองงเขียว มีขายทุกอย่างครับ สินค้าจากจีนก็เยอะ

ร้านกาแฟ และ อาหารขนาดเล้กในสไตล์ Chick & Chill
หนองเขียวยามเช้า สัมผัสกับหมอกเมฆในระดับต่ำ

ช่วงสายๆ เราก็ได้อำลาหนองเขียวมมุ่งหน้าสู่หลวงพระบาง ซึ่งระหว่างทางเราก็ได้แวะจอดทำบุญกับวัดเล็กๆ แห่งหนึ่ง


















หลังจากที่มาถึงหลวงพระบางในราวๆเที่ยงแล้ว เราก็เอาของจัดเก็บเข้าที่พักที่เฮือนพักคำมงคลของท้าวคำมั่น ซึ่งท้าวคำมั่นอาสาพาไปน้ำตกตาดแส้ หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว




หลังจากที่กลับมาจากน้ำตกเป็นที่เรียนร้อยแล้วผมรู้เหนื่อย และเพลียจากการเดินจึงไม่ได้ร่วมกับเพื่อนๆ บางท่านที่ไปนมัสการวัดพระธาตุภูสีซึ่งเป็นจุดชมวิที่สูงที่สุดของหลวงพระบาง อีกทั้งพระธาตุภูสีนี้เองผมเคยไปนมัสการมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสองปีก่อนหน้านี้จึงขอนอนพักในโรงแรมดีกว่า แต่ผมก็มีภาพของพระธาตุภูสีจากทริปก่อหน้านี้มาให้มนะครับ






วันนี้ก็เป็นเช้าวันที่สี่พวกเราตื่นขึ้นมาาแต่เช้าเพื่อมีโอกาสได้ไปทำบุญตักบตรข้าวเหนียวในเมืองหลวงพระบาง แล้วหาเวลาเดินชมตลาดเช้าของหลวงพระบางกันเสียหน่อย หลังจากเมืองหลวงพระบางแล้วเพื่อนนร่วมทริปบางท่านต้องขอแยกทางกลับเชียงใหม่ไปก่อน สำหรับพวกเราที่เหลือก็จะเดินทางต่อไปยังเมือวงเวียง แหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งของลาว


เส้นบุกแห้ง หาซื้อได้ในตลาดเชียงรายเช่นกัน

พริกแกงจากเมืองไทยก็ีขายนะ

นี่คือลูกปาล์มสีน้ำเงินชนิดหนึ่ง ซึ่งบ้านผมเรียกว่า "บ่าก้อแกง" ซึ่งในปัจจุบันไม่สามารถหารับประทานได้แล้วในภาคเหนือ เพราะป่าถูกทำลายลงไปมาก

อาหารป่านานาชนิดมีให้เลือกซื้อหาได้ในตลาดหลวงพระบาง

ไก่ป่า..สิ่งที่แสดงถึงความสมบูณร์ของธรรมชาติ

เฮือนไตลื้อ หลังตลาดหลวงพระบาง ซึ่งยยังคงร่องรอยของความมั่งคั่งของเจ้าของเฮือนในอดีตได้เป็นอย่างดีครับ
ฉายภาพก่อนออกจากหลวงพระบางในช่วงสายๆ
วันนี้เราจะเดินทางไปวังเวียงอีกเกือบสามร้อยกิโลเมตร ซึ่งในสปป.ลาวระยะทางเท่านี้เราต้องใช้เวลาเดินทางตลอดวัน เราเดินทางออกจากหลวงพระบางประมาณเก้าโมงเช้า...ใช้เส้นทางเมืองเชียงเงิน-นาน-กาสี ถนนเส้นนีผิวถนนค่อนข้างดี แต่เป็นเส้นทางที่วิ่งไปตามไหล่เขาที่สูงชัน ซึ่งทัศนียภาพสองข้างทางสวยงามแปลกตามากครับ เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ผมประทับใจมากครับครับ อยากจะหยุดเวลาเอาใว้นานๆ กับเส้นทางพาฝันแบบนี้

รถผมแม้จะเล็ก แต่มันก็ซื่อสัตย์เสมอมา

หนทางขึ้นเขาที่ลาดชันยาวๆ ซึ่งหาไม่ได้ในเมืองไทย
กับบรรยากาศแบบนี้ ผมอยากจะหยุดเวลาเอาใว้ตรงนี้นานๆ

เสี่ยเต้งจากนครพนมกับ Honda CRF คู่ใจ

เฮียเหม่น Buddy ที่แสนดีของผมตลอดการเดินทาง

น้ำตกข้างทางขนาดเล็ก แต่น้ำใสและเย็นมาก

ทางในบางช่วงก็กำลังทำการซ่อมแซมปรับผิวถนน

บางทีผมยืนอยู่ข้างทางมองไปข้างหน้า ก็มีจินตนาการล่องลอยเหมือนยืนอยู่บนเทือกเขาอัลไต ฮ่าๆๆๆ ไปโน่นเลย

แม่น้ำที่มีแต่หินครับ ในรูปภาพอาจจะไม่สวยเท่าได้ไปเห็นกับตาของตัวเอง
เส้นทางคดเคี้ยวขึ้นเขาอันแสนยาวไกล ผมว่่าถนนในภาคเหนือของไทยเทียบไม่ติดเลยครับ

ที่เห็นลิบๆ โน่นคือถนนที่เราเพิ่งวิ่งผ่านมา คือมันโค้งเสียจนเป็นรูปตัว S เมื่อแหงนมองขึ้นไปมันคือเส้นทางที่เราเพิ่งวิ่งผ่านมานี่หว่า คือผมกำลังจะบอกว่าถนนมันวิ่งขึ้นเขาทบไปทบมาไต่ขึ้นไปเป็นชั้นบางทีรถที่เราเห็นในชั้นบนจากเราเหมือนจะไม่ไกลกัน แต่จริงๆแล้วต้องวิ่งเป็น 7-8 กิโลเมตรเลยก็มี
นี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ผมจะต้องขี่รถไปตามใหล่เขา จะเห็นถนนลิบๆ เบื้องล่างเนื่องจากถนนจะโค้งเป็นลักษณะตัว S  ความสูงที่เห็นก็ประมาณตึก 30-40 ชั้นได้ครับ แต่ระยะทางที่ไต่ลงไปนี่ก็เป็นกิโลๆ เช่นกัน

เรามาถึงวังเวียงก็ราวๆ บ่ายสองโมงกว่าๆ แล้วครับ จัดแจงหาร้านอาหารกลางวัน และโรงแรม ไปได้โรงแรมนึงที่เจ้าของเป็นผัวเมียชาวเวียตนาม ซึ่งให้การต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี แต่ตัวคุณสามีติดจะชอบดื่มหน่อย ทะเลาะกะเมียให้เห็นประจำ ฮ่าๆๆๆ  ช่วงบ่าย และเย็นวันก็เป็นเหมือนทุกๆวัน ที่สมาชิกบางท่านเตรียมตัวไปล่องแพกันต่อ ส่วนผมอาบน้ำ และ นอนพักเอาแรงในโรงแรมเพื่อสำรวจเมืองกันต่อในตอนเย็น
ยามเย็นที่วังเวียง

บอลลูนนักท่องเที่ยวสีสวยสด กับการชมบรรยากาศรอบเมืองวังเวียงจากมุมสูง แต่ผมไม่กล้าขึ้นครับ...กลัว


ถนนแถวๆ ที่พักของผมที่เป็นย่านพักอาศัยของนักท่องเที่ยว ฝรั่งเยอะครับ

เช้าวันที่ห้า ตื่นขึ้นมาพบว่ารถของพี่สุรพงษ์ยางรั่วไปล้อนึงครับ เลยจัดการเอาตัวหนอนแทงยางอุดรูรั่วเสียเป็นที่เรียบร้อยก่อนเดินทางต่อไปยังไชยะบุรี

พี่สุรพงษ์ กำลังปะยาง แฮ่ๆๆ รถแรงๆ ก็งี้แหละ

อาหารเช้าของผม มาลาวต้องลองกินให้ได้คือ แป้งจี่

รถของท่านจิมมี่ต้องตั้งโซ่กันหน่อย

รถเฮียเหม่นงานนี้โช๊ครั่วครับ

Kawasaki KLX 250 กับงานลุยๆแบบนี้ ไม่ผิดหวังครับ

ขอเก็บความทรงจำดีๆใว้หน่อยครับ

สะพานข้ามแม่น้ำโขงตรงบริเวณท่าเดื่่อ

ร้านค้าบริเวณเชิงสะพาน

อาหารที่เรียบง่ายแต่อร่อย พวกไฮโซ กทม. คงกินไม่ลงละมั้ง

เด็กๆ ลาว ชีวิตพวกเขาดูมีความสุขจังเลย ผิดกับลูกของผมดูเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง

สะพานท่าเดื่อ เป้นจุดที่มีนักท่องเที่ยวขึ้นมาถ่ายรูปเป็นประจำ

ทิวทัศน์จากเชิงสะพาน

นี่แค่ช่วงกลางแม่น้าโขง แต่พอถึงช่วงที่อยู่ในกัมพูชา และ เวียตนาม แม่น้ำจะกว้างและลึกกว่านี้มากครับ

หลังจากที่รับประทานอาหารจากท่าเดื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็ตกลงกันว่าเราจะเข้าไปหาพักกันที่เมืองไชยะบุรี แต่บังเอิญวันที่เราไปวันนั้นเป็นวันที่ตรงกับงานประเพณีทำบุญใหญ่ประจำปี ซึ่งเป็นงานที่ใหญ่มาก เทียบได้กับงานลอยกระทงของไทย ซึ่งในวันนั้นจะมีการแข่งเรือพายในลำน้ำโขงด้วย ซึ่งทางจังหวัดน่านจะได้รับเชิญให้มาร่วมแข่งขันในงานประเพณีนี้ทุกปี เห็นเขาพุดกันว่าในันงานบุญใหญ่นั้นร้านรวงต่างๆจะหยุดหมด แต่ละบ้านกจะจัดงานรื่นเริงสนุสนานกันไปทั้งเมือง แน่นอนคนจากทั่วทุกสารทิศก็จะมาร่วมงานบุญประเพณีนี้ของแขวง ไชยะบุรี ดังนั้นที่พักในไชยะบุรีในช่วงเวลาดังกล่าวจะเต็ม ซึ่งทางทีมของพวกเราก็ได้เจอกับปัญหานี้เช่นกัน ก็เลยแก้ใขปัญหาว่าใหนๆ ก็ใหนๆ แล้วก็ไปนอนที่เมืองหงสาเสียเลยเพราะห่างจากเมืองเงิน-ห้วยโก๋น เพียงแค่ 40 กิโลเพื่อที่วันถัดไปพวกเราจะได้กลับถึงบ้านกันเร็วหน่อย

เมื่อคิดได้ดังนั้นพวกเราก็ออกเดินทางจากไชยะบุรี ไปยังเมืองหงสา ซึ่งใช้ระยะทางประมาณ 90 กม. เราออกจากเมืองไชยะบุรีราวๆ สี่โมง ไปถึงเมืองหงสาก็ประมาณหนึ่งทุ่มเศษๆ หลังจากนี้ผมก็ไม่ได้ถ่ายรูปอะไรอีกแล้วครับเพราะรู้สึกไม่สะดวกกับอุปกรณ์ที่นำติดตัวไป

หน้าด่านห้วยโก๋นของไทย
ข้อมูลที่ต้องบันทึกเอาใว้
ในวันสุดท้ายขอการเดินทาง ผมออกจากที่พักในเวลาประมาณแปดโมงเศษๆ เราใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงด่านน้ำเงิน -หงสา ผมจำได้ว่าผมทำพิธีการเข้าเมืองเสร็จตอนสิบโมงครึ่ง จากนั้นเราก็ใช้เส้นทางจาก ห้วยโก๋น - เชียงกลาง - สองแคว - เชียงคำ - เชียงราย มาาถึงบ้านก็สามทุ่มพอดีเพราะเราแวะมาตลอดทาง และแวะทาอาหาหารทีเชียงคำนานเป็นพิเศษ

สิ่งที่ผมได้เรียนรู้อย่างหนึ่งสำหรับทริปนี้ก็คือ อุปกรณ์ถ่ายภาพไม่จำเป็นต้องเอาไปเยอะ ผมเอาแค่กล้อง กับเลนส์ซูม 18-200 และขาตั้งกล้องไปเท่านั้นเพราะคิดว่ามันน่าจะครอบจักวาลที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมคิดว่า กล้องกับเลนส์มุมกว้างขนาดเล็กตัวเดียวก็เพียงพอแล้ว หรือจะให้ดีก็แค่กล้องคอมแพคดีๆ สักตัวก็เหลือเฟือแล้ว เพราะการจอดถ่ายภาพระหว่างทางนั้นต้องการความคล่องตัวสูงมากครับโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการไปเป็นหมู่คณะด้วยแล้ว เราไม่สามารถไปเป็นตัวถ่วงใครๆได้



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เมื่อ Dahon Boardwalk D7 เปลี่ยนชุดขับ เป็น Dahon Boardwalk D20

ไมล์วัดความเร็ว INBIKE 321

Cannello Mini Velo - รถราคาถูกๆ นอกสายตา