Kawasaki KSR 110 - จากเชียงรายสู่วังเวียง
อันที่จริงทริปนี้ผมไปมาเมื่อเดือน ตค. 2557 และผมได้เขียนลง Blog ของผมไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่ด้วยความที่ต้องการจัดระเบียบของข้อมูลบน blog ใหม่ก็บังเอิญไปลบข้อมูลอันสำคัญเข้าก็เลยต้องมาเขียนใหม่ด้วยความทรงจำที่เริ่มจะเลือนลาง ทริปนี้เป็นทริปแรกของผมที่เดินทางด้วยรถมอเตอรไซค์ และไปกับเพื่อนใหม่ทั้งทริป ซึ่งการเดินทางของผมเริ่มจากบ้านของผมเองใน อ.เมือง จ.เชียงราย แต่มีเพื่อนในกลุ่มบางส่วนก็ ออกจาก นครพนมบ้าง กทม. บ้าง หรือ แม้กระทั่งอุดรธานี ก็มี
เส้นทางนี้ใช้เวลาในการเดินทาง 6 วัน รวนระยะทาง ประมาณ 1400 กว่ากิโลเมตร ซึ่งเส้นทางเริ่มจาก
เชียงราย-ห้วยทราย-หลวงน้ำทา-อุดมไชย-หนองเขียว-หลวงพระบาง-วังเวียง-ไชยะบุรี-เมืองเงิน-ห้วยโก๋น-เชียงกลาง-สองแคว-เชียงคำ-เชียงราย
เส้นทางที่วิ่ง |
วันที่หนึ่ง : นัดกันหน้าด่านเชียงของเวลา 08:30
Mini Adventure ของผมสงบนิ่ง หน้าด่านเชียงของก่อนออกเดินทาง |
แวะพักคน พักรถระหว่างทางก่อนที่จะถึงหลวงน้ำทา |
ร้านอาหารครัวไทย ซึ่งเจ้าของเป็นคนไทยที่มาลงทุนเปิดร้านอาหารในลาว อยู่นอกเมืองหลวงน้ำทา ในวันนั้นกว่าที่เราจะได้กินอาหารกลางวันก็ปาเข้าไปบ่ายกว่าๆ แล้วครับ |
บรรยากาศโดยรอบร้านอาหารเป็นทุ่งนาเย็นสบายดาดีครับ |
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จก็ได้เวลาออกเดินทางต่อ จากหลวงน้ำทาถึง อุดมไชย แต่การเดินทางต้องใช้ความระมัดระวังค่อนข้างมากเนื่องจากเส้นทางเป็นภูเชาสูงชัน และมีรถบรรทุกจากจีนเข้ามาเยอะมาก แต่ต้องยอมรับว่าในเส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่มีความสวยงามเช่นกัน แต่เนื่องจากเส้นทางมีลักษณะคดเคี้ยวไปตามไหล่เขา และมีรถบรรทุกค่อนข้างมาผมเลยไม่มีโอกาสถ่ายรูปเส้นทางระหว่างหลวงน้ำทา สู่อุดมไชย
เนื่องจากทริปนี้เป็นทริปในลักษระหารเฉลี่ย หลายๆคนก็เพิ่งจะมารู้จักกันในทริปนี้ แต่ก็มีหลายท่านที่รู้จักกันมาก่อนหน้านั้นแล้ว สำหรับผมแล้วคงเป็นมือใหม่ถอดด้าม ซึ่งในวันแรกนี้ผมยังไม่ได้ถ่ายรูปอะไรกันมากมายนักนอกจากจะต้องขี่รถมอเตอร์ไซค์คู่ใจไล่ตามพรรคพวกให้ทัน จำได้แต่เพียงว่าเรามาถึงที่พักในราว สี่โมงเย็น และมีสมาชิกจาก อ.เชียงคำมาสมทบอีก 4-5 ท่าน ในวันแรกเราเข้าพักกันที่ โรงแรมมิตรภาพ อุดมไชยครับ
หน้าโรงแรมมิตรภาพ อุดมไชย |
วันที่สอง : อุดมไชย - หนองเขียว เป็นวันที่แสนโหดประมาณ 90 กม. แต่เส้นทางสวยงามมาก เนื่องจากเป็นเส้นทางที่ทางการลาวกำลังเริ่มที่จะบูรณะ จึงทำให้มีทั้งฝุ่น ดิน โคลน และหินลอยตลอดทั้งเส้นทาง
หลังจากที่มาถึงหลวงพระบางในราวๆเที่ยงแล้ว เราก็เอาของจัดเก็บเข้าที่พักที่เฮือนพักคำมงคลของท้าวคำมั่น ซึ่งท้าวคำมั่นอาสาพาไปน้ำตกตาดแส้ หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่กลับมาจากน้ำตกเป็นที่เรียนร้อยแล้วผมรู้เหนื่อย และเพลียจากการเดินจึงไม่ได้ร่วมกับเพื่อนๆ บางท่านที่ไปนมัสการวัดพระธาตุภูสีซึ่งเป็นจุดชมวิที่สูงที่สุดของหลวงพระบาง อีกทั้งพระธาตุภูสีนี้เองผมเคยไปนมัสการมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสองปีก่อนหน้านี้จึงขอนอนพักในโรงแรมดีกว่า แต่ผมก็มีภาพของพระธาตุภูสีจากทริปก่อหน้านี้มาให้มนะครับ
วันนี้ก็เป็นเช้าวันที่สี่พวกเราตื่นขึ้นมาาแต่เช้าเพื่อมีโอกาสได้ไปทำบุญตักบตรข้าวเหนียวในเมืองหลวงพระบาง แล้วหาเวลาเดินชมตลาดเช้าของหลวงพระบางกันเสียหน่อย หลังจากเมืองหลวงพระบางแล้วเพื่อนนร่วมทริปบางท่านต้องขอแยกทางกลับเชียงใหม่ไปก่อน สำหรับพวกเราที่เหลือก็จะเดินทางต่อไปยังเมือวงเวียง แหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งของลาว
วันนี้เราจะเดินทางไปวังเวียงอีกเกือบสามร้อยกิโลเมตร ซึ่งในสปป.ลาวระยะทางเท่านี้เราต้องใช้เวลาเดินทางตลอดวัน เราเดินทางออกจากหลวงพระบางประมาณเก้าโมงเช้า...ใช้เส้นทางเมืองเชียงเงิน-นาน-กาสี ถนนเส้นนีผิวถนนค่อนข้างดี แต่เป็นเส้นทางที่วิ่งไปตามไหล่เขาที่สูงชัน ซึ่งทัศนียภาพสองข้างทางสวยงามแปลกตามากครับ เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ผมประทับใจมากครับครับ อยากจะหยุดเวลาเอาใว้นานๆ กับเส้นทางพาฝันแบบนี้
เรามาถึงวังเวียงก็ราวๆ บ่ายสองโมงกว่าๆ แล้วครับ จัดแจงหาร้านอาหารกลางวัน และโรงแรม ไปได้โรงแรมนึงที่เจ้าของเป็นผัวเมียชาวเวียตนาม ซึ่งให้การต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี แต่ตัวคุณสามีติดจะชอบดื่มหน่อย ทะเลาะกะเมียให้เห็นประจำ ฮ่าๆๆๆ ช่วงบ่าย และเย็นวันก็เป็นเหมือนทุกๆวัน ที่สมาชิกบางท่านเตรียมตัวไปล่องแพกันต่อ ส่วนผมอาบน้ำ และ นอนพักเอาแรงในโรงแรมเพื่อสำรวจเมืองกันต่อในตอนเย็น
เช้าวันที่ห้า ตื่นขึ้นมาพบว่ารถของพี่สุรพงษ์ยางรั่วไปล้อนึงครับ เลยจัดการเอาตัวหนอนแทงยางอุดรูรั่วเสียเป็นที่เรียบร้อยก่อนเดินทางต่อไปยังไชยะบุรี
หลังจากที่รับประทานอาหารจากท่าเดื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็ตกลงกันว่าเราจะเข้าไปหาพักกันที่เมืองไชยะบุรี แต่บังเอิญวันที่เราไปวันนั้นเป็นวันที่ตรงกับงานประเพณีทำบุญใหญ่ประจำปี ซึ่งเป็นงานที่ใหญ่มาก เทียบได้กับงานลอยกระทงของไทย ซึ่งในวันนั้นจะมีการแข่งเรือพายในลำน้ำโขงด้วย ซึ่งทางจังหวัดน่านจะได้รับเชิญให้มาร่วมแข่งขันในงานประเพณีนี้ทุกปี เห็นเขาพุดกันว่าในันงานบุญใหญ่นั้นร้านรวงต่างๆจะหยุดหมด แต่ละบ้านกจะจัดงานรื่นเริงสนุสนานกันไปทั้งเมือง แน่นอนคนจากทั่วทุกสารทิศก็จะมาร่วมงานบุญประเพณีนี้ของแขวง ไชยะบุรี ดังนั้นที่พักในไชยะบุรีในช่วงเวลาดังกล่าวจะเต็ม ซึ่งทางทีมของพวกเราก็ได้เจอกับปัญหานี้เช่นกัน ก็เลยแก้ใขปัญหาว่าใหนๆ ก็ใหนๆ แล้วก็ไปนอนที่เมืองหงสาเสียเลยเพราะห่างจากเมืองเงิน-ห้วยโก๋น เพียงแค่ 40 กิโลเพื่อที่วันถัดไปพวกเราจะได้กลับถึงบ้านกันเร็วหน่อย
เมื่อคิดได้ดังนั้นพวกเราก็ออกเดินทางจากไชยะบุรี ไปยังเมืองหงสา ซึ่งใช้ระยะทางประมาณ 90 กม. เราออกจากเมืองไชยะบุรีราวๆ สี่โมง ไปถึงเมืองหงสาก็ประมาณหนึ่งทุ่มเศษๆ หลังจากนี้ผมก็ไม่ได้ถ่ายรูปอะไรอีกแล้วครับเพราะรู้สึกไม่สะดวกกับอุปกรณ์ที่นำติดตัวไป
ในวันสุดท้ายขอการเดินทาง ผมออกจากที่พักในเวลาประมาณแปดโมงเศษๆ เราใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงด่านน้ำเงิน -หงสา ผมจำได้ว่าผมทำพิธีการเข้าเมืองเสร็จตอนสิบโมงครึ่ง จากนั้นเราก็ใช้เส้นทางจาก ห้วยโก๋น - เชียงกลาง - สองแคว - เชียงคำ - เชียงราย มาาถึงบ้านก็สามทุ่มพอดีเพราะเราแวะมาตลอดทาง และแวะทาอาหาหารทีเชียงคำนานเป็นพิเศษ
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้อย่างหนึ่งสำหรับทริปนี้ก็คือ อุปกรณ์ถ่ายภาพไม่จำเป็นต้องเอาไปเยอะ ผมเอาแค่กล้อง กับเลนส์ซูม 18-200 และขาตั้งกล้องไปเท่านั้นเพราะคิดว่ามันน่าจะครอบจักวาลที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมคิดว่า กล้องกับเลนส์มุมกว้างขนาดเล็กตัวเดียวก็เพียงพอแล้ว หรือจะให้ดีก็แค่กล้องคอมแพคดีๆ สักตัวก็เหลือเฟือแล้ว เพราะการจอดถ่ายภาพระหว่างทางนั้นต้องการความคล่องตัวสูงมากครับโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการไปเป็นหมู่คณะด้วยแล้ว เราไม่สามารถไปเป็นตัวถ่วงใครๆได้
พักรถกันบนจุดชมวิวก่อนถึง สามแยกปากมอง |
สภาพรถของผม ยังใหวครับ |
ความงามของภูเขาตรงจุดชมวิว |
อีกด้านหนึ่งของแนวเขา |
งานนี้รถของผมเล็กที่สุดครับ แต่ก็คล่องตัวที่สุดเมื่อต้องเจอสภาพที่ทุรกันดาร |
หมูดำของชาวบ้านที่นี่มักจะเลี้ยงกันแบบปล่อยกันแบบนี้แหละครับ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเดินทางในลาวต้องระมัดระวังเป็นอ่างมาก เพราะผมได้ยินว่าการขี่รถไปชนสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านนี่ต้องชดใช้กันหัวโตเลย |
สามแยกปากมอง จุดนัดพบกับเพื่อนใหม่อีกสองท่านที่เดินทางมาจากอิสาน คนนึงมาจากอุดร และอีกท่านนึงมาจาก นครพนม เรามารวมพลกันที่ก่อนที่จะเดินทางสู่หนองเขียว |
ทัศนียภาพริมฝั่งน้ำอู ตรงเชิงสะพานหนองเขียว |
ช่วงบ่ายวันนี้เราเช่าเรือล่องลำน้ำอูมุ่งหน้าสู่เมืองงอยครับ |
เมืองงอยเป็นเมืองขนาดเล็กที่เงียบสงบ ชาวบ้านบอกผมว่าอยู่ห่างจากหนองเขียววประมาณยี่สิกิโล แต่การเดินทางไม่สะดวกมาทางเรือจากหนองเขียวง่าย และสะดวกที่สุด |
เมืองเล็กๆ ที่มีเสน่ห์แฝงอยู่ |
เแม่ค้าขายกล้วยปิ้ง |
เด็กๆเมืองงอยที่มีแววตาาไร้เดียงสาจริงๆครับ |
ลักษณะของร้านค้าในเมืองงอย ก็ไม่ต่างจากบ้านนอกของเราสักเท่าไร |
ทัศนียภาพภายในเมืองงอย |
เศษซากของจักรวัตินิยมที่อยากจะเอาระเบิดไปทิ้งทำลายบบ้านใครก็ทำตามอำเภอใจ |
ที่นี่แม้ว่าอยู่ห่างจากความเจริญมาก แต่ก็มีที่พักที่แสนสวยน่าพัก เหมาะสำหรับใครก็ตามที่ต้องการมาหยุดเวลาของชีวิตให้ช้าลงที่นี่ |
ณ.สะพานข้ามลำน้ำอู เมืองหนองเขียว |
แคบหมู ไม่ต่างจากอาหารเมืองเหนือบ้านเฮา |
ตลาดหนองงเขียว มีขายทุกอย่างครับ สินค้าจากจีนก็เยอะ |
ร้านกาแฟ และ อาหารขนาดเล้กในสไตล์ Chick & Chill |
หนองเขียวยามเช้า สัมผัสกับหมอกเมฆในระดับต่ำ |
ช่วงสายๆ เราก็ได้อำลาหนองเขียวมมุ่งหน้าสู่หลวงพระบาง ซึ่งระหว่างทางเราก็ได้แวะจอดทำบุญกับวัดเล็กๆ แห่งหนึ่ง |
หลังจากที่มาถึงหลวงพระบางในราวๆเที่ยงแล้ว เราก็เอาของจัดเก็บเข้าที่พักที่เฮือนพักคำมงคลของท้าวคำมั่น ซึ่งท้าวคำมั่นอาสาพาไปน้ำตกตาดแส้ หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่กลับมาจากน้ำตกเป็นที่เรียนร้อยแล้วผมรู้เหนื่อย และเพลียจากการเดินจึงไม่ได้ร่วมกับเพื่อนๆ บางท่านที่ไปนมัสการวัดพระธาตุภูสีซึ่งเป็นจุดชมวิที่สูงที่สุดของหลวงพระบาง อีกทั้งพระธาตุภูสีนี้เองผมเคยไปนมัสการมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสองปีก่อนหน้านี้จึงขอนอนพักในโรงแรมดีกว่า แต่ผมก็มีภาพของพระธาตุภูสีจากทริปก่อหน้านี้มาให้มนะครับ
วันนี้ก็เป็นเช้าวันที่สี่พวกเราตื่นขึ้นมาาแต่เช้าเพื่อมีโอกาสได้ไปทำบุญตักบตรข้าวเหนียวในเมืองหลวงพระบาง แล้วหาเวลาเดินชมตลาดเช้าของหลวงพระบางกันเสียหน่อย หลังจากเมืองหลวงพระบางแล้วเพื่อนนร่วมทริปบางท่านต้องขอแยกทางกลับเชียงใหม่ไปก่อน สำหรับพวกเราที่เหลือก็จะเดินทางต่อไปยังเมือวงเวียง แหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งของลาว
เส้นบุกแห้ง หาซื้อได้ในตลาดเชียงรายเช่นกัน |
พริกแกงจากเมืองไทยก็ีขายนะ |
นี่คือลูกปาล์มสีน้ำเงินชนิดหนึ่ง ซึ่งบ้านผมเรียกว่า "บ่าก้อแกง" ซึ่งในปัจจุบันไม่สามารถหารับประทานได้แล้วในภาคเหนือ เพราะป่าถูกทำลายลงไปมาก |
อาหารป่านานาชนิดมีให้เลือกซื้อหาได้ในตลาดหลวงพระบาง |
ไก่ป่า..สิ่งที่แสดงถึงความสมบูณร์ของธรรมชาติ |
เฮือนไตลื้อ หลังตลาดหลวงพระบาง ซึ่งยยังคงร่องรอยของความมั่งคั่งของเจ้าของเฮือนในอดีตได้เป็นอย่างดีครับ |
ฉายภาพก่อนออกจากหลวงพระบางในช่วงสายๆ |
รถผมแม้จะเล็ก แต่มันก็ซื่อสัตย์เสมอมา |
หนทางขึ้นเขาที่ลาดชันยาวๆ ซึ่งหาไม่ได้ในเมืองไทย |
กับบรรยากาศแบบนี้ ผมอยากจะหยุดเวลาเอาใว้ตรงนี้นานๆ |
เสี่ยเต้งจากนครพนมกับ Honda CRF คู่ใจ |
เฮียเหม่น Buddy ที่แสนดีของผมตลอดการเดินทาง |
น้ำตกข้างทางขนาดเล็ก แต่น้ำใสและเย็นมาก |
ทางในบางช่วงก็กำลังทำการซ่อมแซมปรับผิวถนน |
บางทีผมยืนอยู่ข้างทางมองไปข้างหน้า ก็มีจินตนาการล่องลอยเหมือนยืนอยู่บนเทือกเขาอัลไต ฮ่าๆๆๆ ไปโน่นเลย |
แม่น้ำที่มีแต่หินครับ ในรูปภาพอาจจะไม่สวยเท่าได้ไปเห็นกับตาของตัวเอง |
เส้นทางคดเคี้ยวขึ้นเขาอันแสนยาวไกล ผมว่่าถนนในภาคเหนือของไทยเทียบไม่ติดเลยครับ |
นี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ผมจะต้องขี่รถไปตามใหล่เขา จะเห็นถนนลิบๆ เบื้องล่างเนื่องจากถนนจะโค้งเป็นลักษณะตัว S ความสูงที่เห็นก็ประมาณตึก 30-40 ชั้นได้ครับ แต่ระยะทางที่ไต่ลงไปนี่ก็เป็นกิโลๆ เช่นกัน |
เรามาถึงวังเวียงก็ราวๆ บ่ายสองโมงกว่าๆ แล้วครับ จัดแจงหาร้านอาหารกลางวัน และโรงแรม ไปได้โรงแรมนึงที่เจ้าของเป็นผัวเมียชาวเวียตนาม ซึ่งให้การต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี แต่ตัวคุณสามีติดจะชอบดื่มหน่อย ทะเลาะกะเมียให้เห็นประจำ ฮ่าๆๆๆ ช่วงบ่าย และเย็นวันก็เป็นเหมือนทุกๆวัน ที่สมาชิกบางท่านเตรียมตัวไปล่องแพกันต่อ ส่วนผมอาบน้ำ และ นอนพักเอาแรงในโรงแรมเพื่อสำรวจเมืองกันต่อในตอนเย็น
ยามเย็นที่วังเวียง |
บอลลูนนักท่องเที่ยวสีสวยสด กับการชมบรรยากาศรอบเมืองวังเวียงจากมุมสูง แต่ผมไม่กล้าขึ้นครับ...กลัว |
ถนนแถวๆ ที่พักของผมที่เป็นย่านพักอาศัยของนักท่องเที่ยว ฝรั่งเยอะครับ |
เช้าวันที่ห้า ตื่นขึ้นมาพบว่ารถของพี่สุรพงษ์ยางรั่วไปล้อนึงครับ เลยจัดการเอาตัวหนอนแทงยางอุดรูรั่วเสียเป็นที่เรียบร้อยก่อนเดินทางต่อไปยังไชยะบุรี
พี่สุรพงษ์ กำลังปะยาง แฮ่ๆๆ รถแรงๆ ก็งี้แหละ |
อาหารเช้าของผม มาลาวต้องลองกินให้ได้คือ แป้งจี่ |
รถของท่านจิมมี่ต้องตั้งโซ่กันหน่อย |
รถเฮียเหม่นงานนี้โช๊ครั่วครับ |
Kawasaki KLX 250 กับงานลุยๆแบบนี้ ไม่ผิดหวังครับ |
ขอเก็บความทรงจำดีๆใว้หน่อยครับ |
สะพานข้ามแม่น้ำโขงตรงบริเวณท่าเดื่่อ |
ร้านค้าบริเวณเชิงสะพาน |
อาหารที่เรียบง่ายแต่อร่อย พวกไฮโซ กทม. คงกินไม่ลงละมั้ง |
เด็กๆ ลาว ชีวิตพวกเขาดูมีความสุขจังเลย ผิดกับลูกของผมดูเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง |
สะพานท่าเดื่อ เป้นจุดที่มีนักท่องเที่ยวขึ้นมาถ่ายรูปเป็นประจำ |
ทิวทัศน์จากเชิงสะพาน |
นี่แค่ช่วงกลางแม่น้าโขง แต่พอถึงช่วงที่อยู่ในกัมพูชา และ เวียตนาม แม่น้ำจะกว้างและลึกกว่านี้มากครับ |
หลังจากที่รับประทานอาหารจากท่าเดื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็ตกลงกันว่าเราจะเข้าไปหาพักกันที่เมืองไชยะบุรี แต่บังเอิญวันที่เราไปวันนั้นเป็นวันที่ตรงกับงานประเพณีทำบุญใหญ่ประจำปี ซึ่งเป็นงานที่ใหญ่มาก เทียบได้กับงานลอยกระทงของไทย ซึ่งในวันนั้นจะมีการแข่งเรือพายในลำน้ำโขงด้วย ซึ่งทางจังหวัดน่านจะได้รับเชิญให้มาร่วมแข่งขันในงานประเพณีนี้ทุกปี เห็นเขาพุดกันว่าในันงานบุญใหญ่นั้นร้านรวงต่างๆจะหยุดหมด แต่ละบ้านกจะจัดงานรื่นเริงสนุสนานกันไปทั้งเมือง แน่นอนคนจากทั่วทุกสารทิศก็จะมาร่วมงานบุญประเพณีนี้ของแขวง ไชยะบุรี ดังนั้นที่พักในไชยะบุรีในช่วงเวลาดังกล่าวจะเต็ม ซึ่งทางทีมของพวกเราก็ได้เจอกับปัญหานี้เช่นกัน ก็เลยแก้ใขปัญหาว่าใหนๆ ก็ใหนๆ แล้วก็ไปนอนที่เมืองหงสาเสียเลยเพราะห่างจากเมืองเงิน-ห้วยโก๋น เพียงแค่ 40 กิโลเพื่อที่วันถัดไปพวกเราจะได้กลับถึงบ้านกันเร็วหน่อย
เมื่อคิดได้ดังนั้นพวกเราก็ออกเดินทางจากไชยะบุรี ไปยังเมืองหงสา ซึ่งใช้ระยะทางประมาณ 90 กม. เราออกจากเมืองไชยะบุรีราวๆ สี่โมง ไปถึงเมืองหงสาก็ประมาณหนึ่งทุ่มเศษๆ หลังจากนี้ผมก็ไม่ได้ถ่ายรูปอะไรอีกแล้วครับเพราะรู้สึกไม่สะดวกกับอุปกรณ์ที่นำติดตัวไป
หน้าด่านห้วยโก๋นของไทย |
ข้อมูลที่ต้องบันทึกเอาใว้ |
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้อย่างหนึ่งสำหรับทริปนี้ก็คือ อุปกรณ์ถ่ายภาพไม่จำเป็นต้องเอาไปเยอะ ผมเอาแค่กล้อง กับเลนส์ซูม 18-200 และขาตั้งกล้องไปเท่านั้นเพราะคิดว่ามันน่าจะครอบจักวาลที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมคิดว่า กล้องกับเลนส์มุมกว้างขนาดเล็กตัวเดียวก็เพียงพอแล้ว หรือจะให้ดีก็แค่กล้องคอมแพคดีๆ สักตัวก็เหลือเฟือแล้ว เพราะการจอดถ่ายภาพระหว่างทางนั้นต้องการความคล่องตัวสูงมากครับโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการไปเป็นหมู่คณะด้วยแล้ว เราไม่สามารถไปเป็นตัวถ่วงใครๆได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น